และอีก 1 ทางเลือกเพิ่มเติมคือ ฝากเงินในบัญชีที่มีดอกเบี้ยสูง เพราะการใช้บัญชีเงินฝากที่มีดอกเบี้ยสูง หรือกองทุนรวมตลาดเงินเป็นทางเลือกที่ดี เพราะจะช่วยเพิ่มดอกผลจากการออมได้มากขึ้นนั่นเองครับ
• ทำอย่างไรให้ขอสินเชื่อผ่านง่ายขึ้น?
1. ตรวจสอบประวัติเครดิต (เครดิตบูโร): ธนาคารจะตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ของคุณก่อนที่จะอนุมัติสินเชื่อ ตรวจสอบว่าคุณไม่มีประวัติการค้างชำระ และควรชำระหนี้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลให้ตรงเวลา
มีรายได้ที่มั่นคง: ธนาคารจะพิจารณาความมั่นคงของรายได้ คุณควรมีงานที่ทำต่อเนื่องและมีรายได้ที่สม่ำเสมออย่างน้อย 6 เดือน เพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อ
2. ลดภาระหนี้ก่อนยื่นกู้: หากคุณมีภาระหนี้สินอื่นๆ เช่น บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล ควรลดหรือปิดหนี้ให้มากที่สุดก่อนยื่นขอสินเชื่อบ้าน
3. เตรียมเอกสารครบถ้วน: เอกสารที่ต้องใช้รวมถึงบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สลิปเงินเดือนย้อนหลัง และบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนจะช่วยให้กระบวนการยื่นขอสินเชื่อเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น
• เปรียบเทียบสินเชื่อจากธนาคารต่าง ๆ และเลือกข้อเสนอที่ดีที่สุด
อาจะเป็นอีกข้อที่หลายคนหัวหมุนในช่วงแรก ๆ เพราะการเปรียบเทียบดอกเบี้ย และข้อเสนอต่าง ๆ จากธนาคารนั้น ก็ถือเป็นงานที่ค่อนข้างละเอียด แต่เชื่อเถอะครับ การเฟ้นหาข้อเสนอสินเชื่อบ้านที่ดีที่สุด จะช่วยคุณลดภาระดอกเบี้ย และเบี้ยการผ่อนชำระในระยะยาวได้มากเลยครับ
1. อัตราดอกเบี้ย: เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารต่างๆ โดยมีทั้ง Fixed Rate (อัตราดอกเบี้ยคงที่) และ Floating Rate (อัตราดอกเบี้ยลอยตัว) เลือกที่เหมาะสมกับการเงินของคุณ
2. โปรโมชั่นพิเศษ: บางธนาคารมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับการกู้ซื้อบ้าน เช่น ดอกเบี้ยต่ำในปีแรก หรือไม่มีค่าธรรมเนียมการโอน ควรเลือกสินเชื่อที่มีเงื่อนไขเหมาะสมกับคุณ
3. ค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขอื่นๆ: ตรวจสอบค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าจดจำนอง ค่าเบี้ยประกัน และเงื่อนไขการชำระหนี้เพิ่มเติม เพื่อป้องกันการเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น
4. ความยืดหยุ่นในการผ่อนชำระ: เลือกสินเชื่อที่มีความยืดหยุ่นในการผ่อนชำระ เช่น สามารถเพิ่มเงินในการผ่อนแต่ละงวด เพื่อลดระยะเวลาการชำระหนี้ (ในส่วนนี้คุณสามารถสอบถามเงื่อไขกับธนาคารได้โดยตรง)
• การคำนวณรายจ่ายเพื่อไม่ให้เกินงบประมาณ
การซื้อบ้านไม่ใช่แค่ค่าผ่อนบ้านเท่านั้น คุณยังต้องคำนวณค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อไม่ให้เกินงบประมาณที่คุณตั้งไว้:
1. ค่าผ่อนบ้าน: ธนาคารมักจะพิจารณาว่าคุณสามารถใช้รายได้ประมาณ 40% ในการผ่อนบ้านได้ เช่น หากคุณมีรายได้ 30,000 บาท คุณควรผ่อนบ้านไม่เกิน 12,000 บาทต่อเดือน
2. ค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์: ค่าธรรมเนียมการโอนบ้านอยู่ที่ประมาณ 2-3% ของราคาบ้าน ควรเตรียมเงินส่วนนี้ไว้ล่วงหน้า
3. ค่าตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์: ค่าใช้จ่ายในการตกแต่งบ้านและซื้อเฟอร์นิเจอร์อาจสูง ควรจัดงบประมาณสำหรับส่วนนี้ด้วย
4. ค่าใช้จ่ายประจำ: ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบำรุงรักษา ค่าประกันอัคคีภัย (ประกันภัยภาคบังคับ) และภาษีที่ดิน ควรรวมไว้ในแผนการเงินของคุณด้วยนะครับ
การวางแผนการเงินสำหรับการซื้อบ้านไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณเตรียมพร้อม ทำตามขั้นตอน และวางแผนการเงินอย่างรัดกุม ผมเชื่อว่าการซื้อบ้านก็จะเป็นไปได้อย่างราบรื่นแน่นอนครับ